บาดแผลเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน การติดเชื้อ ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น แผลถลอกจากการหกล้ม หรือบาดแผลจากการผ่าตัดที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด แม้บาดแผลส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ตามธรรมชาติ แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การติดเชื้อ ซึ่งเป็นภาวะที่มีความเสี่ยงและอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายอย่างรุนแรง
การติดเชื้อแผลไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับบาดเจ็บเสมอไป แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการที่บ่งบอกให้เราทราบ หากสามารถสังเกตและรู้จักสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้เร็ว ก็จะช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ป้องกันไม่ให้ลุกลามหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง
สาเหตุที่ทำให้แผลติดเชื้อ

ก่อนจะเข้าสู่สัญญาณของการติดเชื้อ ควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่อาจทำให้แผลเกิดการติดเชื้อ ซึ่งได้แก่
- การปนเปื้อนของเชื้อโรคในบาดแผล
เมื่อผิวหนังถูกทำลาย ระบบป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายถูกเปิดทางให้เชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย - การทำความสะอาดแผลไม่เพียงพอ
หากแผลไม่ได้รับการล้างทำความสะอาดอย่างเหมาะสม เชื้อโรคและสิ่งสกปรกจะสะสมและก่อให้เกิดการติดเชื้อ - การใช้วัสดุปิดแผลที่ไม่สะอาด
ผ้าก๊อซหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อสามารถเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ - สภาพร่างกายของผู้ป่วย
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป - สิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
บริเวณที่มีฝุ่นละออง ความชื้นสูง หรือไม่สะอาด สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในแผล
สัญญาณของการติดเชื้อแผลที่ควรระวัง
1. บริเวณแผลมีรอยแดงและบวม
หนึ่งในสัญญาณเริ่มต้นของการติดเชื้อคือการที่ผิวรอบ ๆ แผลเริ่มมีรอยแดง แดงลามกว่าขอบแผลปกติ และมีอาการบวมร่วมด้วย ความแดงและบวมนี้เกิดจากการอักเสบที่ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรค
2. ความร้อนรอบแผล
หากสัมผัสแล้วรู้สึกว่าบริเวณแผลมีอุณหภูมิสูงกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ นั่นอาจบ่งบอกว่าแผลกำลังมีการอักเสบและอาจติดเชื้อ
3. มีหนองหรือน้ำเหลืองไหลออกจากแผล
หนองมักมีลักษณะขุ่น สีเหลือง เขียว หรือปนเลือด การมีหนองเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการติดเชื้อ เนื่องจากเกิดจากการที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับแบคทีเรีย
4. ปวดแผลมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาการปวดเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติของแผล แต่หากความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นแทนที่จะดีขึ้นตามเวลา อาจเป็นสัญญาณว่าแผลติดเชื้อและการอักเสบกำลังลุกลาม
5. มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
แผลที่ติดเชื้อมักมีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการสะสมของเชื้อโรคและหนองในบาดแผล
6. มีไข้หรืออาการทั่วไปผิดปกติ
เมื่อเชื้อโรคจากบาดแผลเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายอาจตอบสนองด้วยการมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย หรือเวียนศีรษะ ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์
7. แผลหายช้ากว่าปกติ
โดยทั่วไป แผลเล็ก ๆ จะเริ่มแห้งและหายภายในไม่กี่วัน หากพบว่าแผลไม่แห้ง หรือลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นอาจเป็นเพราะการติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนจากแผลติดเชื้อ
หากละเลยสัญญาณเตือนและปล่อยให้แผลติดเชื้อโดยไม่รักษา อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น
- การติดเชื้อไซนัสหรือกระดูก หากเชื้อลุกลามลึกเข้าสู่เนื้อเยื่อ
- ภาวะโลหิตเป็นพิษ (Sepsis) เมื่อเชื้อแพร่เข้าสู่กระแสเลือด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- การสูญเสียอวัยวะบางส่วน หากเกิดการติดเชื้อรุนแรงจนเนื้อตาย
วิธีป้องกันการติดเชื้อแผล
- ล้างมือก่อนสัมผัสแผล
การล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ช่วยลดการนำเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล - ทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสม
ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสะอาดล้างคราบสกปรกออกจากแผล แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด - ใช้วัสดุปิดแผลที่ผ่านการฆ่าเชื้อ
ผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ที่สะอาดช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม - เปลี่ยนผ้าปิดแผลอย่างสม่ำเสมอ
ควรเปลี่ยนผ้าก๊อซวันละ 1–2 ครั้ง หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ำและสิ่งสกปรก - สังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ
หากมีรอยแดง บวม หนอง หรือปวดมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ทันที
- แผลมีหนองจำนวนมากหรือกลิ่นรุนแรง
- มีไข้ร่วมกับอาการปวดและบวมของแผล
- แผลเกิดบริเวณที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ใกล้ข้อต่อ มือ เท้า หรือใบหน้า
- แผลไม่ดีขึ้นภายใน 5–7 วัน
ตารางสรุป: สัญญาณการติดเชื้อแผลและแนวทางเบื้องต้น
สัญญาณที่ควรระวัง | สาเหตุที่เป็นไปได้ | แนวทางเบื้องต้นที่ควรทำ |
---|---|---|
แผลแดง บวม ร้อน | การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย | ทำความสะอาดแผลใหม่ หากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ |
มีหนองหรือน้ำเหลืองขุ่น | เชื้อโรคเจริญเติบโตในแผล | หลีกเลี่ยงการบีบหนอง ปิดแผลสะอาด และไปพบแพทย์ |
ปวดแผลมากขึ้นเรื่อย ๆ | การอักเสบลุกลาม | ประคบเย็นเพื่อลดอาการชั่วคราว และรีบตรวจรักษา |
มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ | การสะสมของเชื้อและเนื้อตาย | เปลี่ยนผ้าปิดแผลใหม่ รีบไปโรงพยาบาลทันที |
มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย | เชื้อโรคเริ่มแพร่เข้าสู่กระแสเลือด | เข้ารับการรักษาโดยแพทย์โดยเร็วที่สุด |
แผลหายช้าผิดปกติ | การติดเชื้อหรือโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน | ตรวจสุขภาพและประเมินการรักษาที่เหมาะสม |
แนวทางการดูแลตนเองเมื่อสงสัยแผลติดเชื้อ
- ไม่บีบหรือแกะแผล
การพยายามบีบหนองออกเองอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายลึกขึ้นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าเดิม - ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี
ล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์เข้มข้นหรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซ้ำ ๆ เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อที่กำลังสมาน - ใช้ผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ที่สะอาด
ปิดแผลเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ควรปิดแน่นจนเกินไป - สังเกตอาการทุกวัน
หากพบความผิดปกติ เช่น รอยแดงลาม บวมมากขึ้น หรือมีกลิ่น ควรรีบไปพบแพทย์ - รับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย
อาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซี และสังกะสี เช่น เนื้อปลา ไข่ ส้ม และถั่ว จะช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น - หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้แผลหายช้า
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลให้แผลสมานช้าและเสี่ยงติดเชื้อ
การรักษาทางการแพทย์เมื่อแผลติดเชื้อ
หากแผลติดเชื้อจริง แพทย์อาจใช้วิธีดังนี้
- ให้ยาปฏิชีวนะ ทั้งในรูปแบบยาทา ยากิน หรือยาฉีด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ
- ทำแผลโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขจัดหนองและเนื้อตาย ลดการสะสมของเชื้อโรค
- การผ่าตัดเล็ก ในกรณีที่มีการติดเชื้อลึกหรือต้องเปิดระบายหนอง
- การดูแลต่อเนื่อง เช่น การทำแผลซ้ำ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้สูงอายุ
1. ผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อแผล เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง เลือดไหลเวียนไม่ดี และเส้นประสาทเสื่อม ทำให้บางครั้งไม่รู้ตัวว่าเกิดบาดแผล โดยเฉพาะที่เท้า
- ตรวจเท้าทุกวัน เพื่อสังเกตว่ามีรอยถลอก พุพอง หรือแผลเล็ก ๆ หรือไม่
- ใส่รองเท้าที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงรองเท้าที่บีบรัดหรือเสียดสีจนเกิดแผล
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลสมานตัวได้เร็ว
- รีบพบแพทย์ทันที หากแผลมีอาการผิดปกติ เช่น แดง บวม หนอง หรือหายช้า
2. ผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันลดลงและผิวหนังบางลง ทำให้เกิดบาดแผลได้ง่ายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ดูแลสุขอนามัยผิวหนัง โดยอาบน้ำทุกวันและทาครีมบำรุงผิวเพื่อลดการแตกแห้ง
- หลีกเลี่ยงการล้มและการกระแทก ด้วยการจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง เพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเสริมภูมิคุ้มกัน
- พบแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพและดูแลโรคประจำตัวที่อาจทำให้แผลหายช้า เช่น ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ
เช็กลิสต์ 10 ข้อปฏิบัติ เพื่อป้องกันและรับมือการติดเชื้อแผล
- ล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสแผล
เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลโดยไม่ตั้งใจ - ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ไม่สะอาดหรือสมุนไพรสดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ - ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ที่สะอาด
เปลี่ยนใหม่ทุกวันหรือเมื่อเปียก/สกปรก - ห้ามแกะ เกา หรือบีบหนอง
เพราะอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายลึกลงไป - สังเกตอาการผิดปกติของแผลทุกวัน
เช่น แดง บวม ร้อน หนอง หรือกลิ่นผิดปกติ - หากมีอาการแย่ลง ให้รีบพบแพทย์
ไม่ควรรอจนติดเชื้อรุนแรงหรือมีไข้สูง - รับประทานอาหารที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย
เลือกอาหารที่มีโปรตีน วิตามินซี และสังกะสีสูง - หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
เพราะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย - ผู้ป่วยเบาหวานต้องตรวจเท้าและผิวหนังทุกวัน
พร้อมทั้งควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - ผู้สูงอายุควรดูแลสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย
เพื่อลดโอกาสเกิดบาดแผลจากการลื่นล้มและอุบัติเหตุเล็กน้อย
สรุปส่งท้าย
การติดเชื้อแผลไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ การใส่ใจดูแลแผลตั้งแต่แรก สังเกตสัญญาณผิดปกติ และปฏิบัติตามเช็กลิสต์ 10 ข้อนี้ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และลดโอกาสเกิดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานและผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง การดูแลอย่างใกล้ชิดและการพบแพทย์เมื่อจำเป็น คือหัวใจสำคัญของการป้องกันอันตรายจากแผลติดเชื้อ