Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    jobthaidb
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    • สุขภาพ
    jobthaidb
    สุขภาพ

    การปฐมพยาบาลเมื่อ สำลัก ขั้นตอนช่วยชีวิต

    Anthony BennettBy Anthony BennettAugust 27, 2025No Comments2 Mins Read

    การ สำลัก เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การขาดอากาศหายใจหรือเสียชีวิตได้ การเรียนรู้ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเมื่อสำลักจึงเป็นทักษะที่สำคัญและควรมีความรู้ติดตัวไว้ทุกคน

    บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุของการสำลัก อาการสังเกต วิธีปฐมพยาบาลสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดจนข้อควรระวังและการป้องกัน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในสถานการณ์ฉุกเฉิน


    ความเข้าใจเกี่ยวกับการสำลัก

    การสำลัก (Choking) คือ ภาวะที่มีสิ่งแปลกปลอม เช่น อาหาร เศษชิ้นส่วน หรือวัตถุเล็ก ๆ เข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปยังปอดได้อย่างปกติ หากสิ่งอุดตันไม่ถูกขับออก จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน สมองได้รับความเสียหายภายในไม่กี่นาที และอาจเสียชีวิตได้


    สาเหตุที่พบบ่อยของการสำลัก

    1. การกินอาหารไม่ระมัดระวัง
      เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดหรือหัวเราะระหว่างรับประทาน
    2. เด็กเล็กหยิบสิ่งของเข้าปาก
      ของเล่นชิ้นเล็ก เหรียญ หรือเมล็ดถั่ว มักเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจเด็ก
    3. ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยบางโรค
      ผู้ที่มีปัญหาการกลืน อัมพาตครึ่งซีก หรือโรคทางระบบประสาท มักมีความเสี่ยงสำลักสูง
    4. การดื่มสุราเกินขนาด
      ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อกลืนบกพร่อง เสี่ยงต่อการสำลักอาหารหรือเครื่องดื่ม

    สัญญาณและอาการของการสำลัก

    การสังเกตอาการสำลักเป็นสิ่งจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือทันที โดยมีลักษณะดังนี้

    • ไอแรง ๆ หรือพยายามไอแต่ไม่มีเสียง
    • หายใจลำบาก มีเสียงวี๊ด หรือไม่สามารถหายใจได้
    • พูดหรือร้องไม่ได้
    • จับคอหรืออก แสดงท่าทางขาดอากาศ
    • ใบหน้าและริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำหรือม่วง
    • หมดสติหากขาดอากาศเป็นเวลานาน

    การปฐมพยาบาลเมื่อสำลักในผู้ใหญ่

    1. ประเมินสถานการณ์

    • ถ้าผู้ป่วยยังสามารถพูด ไอ หรือหายใจได้ ให้กระตุ้นให้ไอต่อไป
    • หากผู้ป่วยไม่สามารถหายใจหรือส่งเสียง ให้ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน

    2. การตบหลัง (Back Blows)

    • ยืนด้านหลังหรือด้านข้างเล็กน้อย
    • โน้มตัวผู้ป่วยไปข้างหน้าเล็กน้อย
    • ใช้สันมือกระแทกบริเวณกึ่งกลางหลังระหว่างสะบัก 5 ครั้ง

    3. การกดท้อง (Abdominal Thrusts หรือ Heimlich Maneuver)

    • ยืนด้านหลังผู้ป่วย โอบแขนรอบเอว
    • กำมือข้างหนึ่ง วางตรงเหนือสะดือเล็กน้อย
    • ใช้มืออีกข้างจับกำปั้นไว้ แล้วดึงขึ้นอย่างแรงและรวดเร็ว 5 ครั้ง
    • สลับระหว่างการตบหลังและกดท้องจนกว่าวัตถุจะหลุดหรือผู้ป่วยหมดสติ

    4. หากผู้ป่วยหมดสติ

    • วางผู้ป่วยลงกับพื้น ตรวจการหายใจและชีพจร
    • โทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยฉุกเฉินทันที
    • เริ่มทำการกดหน้าอก (CPR) หากไม่พบการหายใจ

    การปฐมพยาบาลเมื่อสำลักในเด็ก

    เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

    • จับเด็กนอนคว่ำพาดแขนหรือหน้าตัก ให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
    • ใช้สันมือตบกลางหลังระหว่างสะบัก 5 ครั้ง
    • พลิกเด็กหงาย ใช้นิ้ว 2 นิ้วกดกลางหน้าอกบริเวณใต้เส้นหัวนม 5 ครั้ง
    • ทำสลับกันไปจนกว่าวัตถุจะหลุดหรือเด็กหายใจได้

    เด็กอายุมากกว่า 1 ปี

    • ใช้วิธีคล้ายผู้ใหญ่ แต่ต้องระมัดระวังแรงกดท้องไม่ให้รุนแรงเกินไป
    • การตบหลังและกดท้องยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

    การช่วยเหลือตนเองเมื่อสำลัก

    หากอยู่คนเดียวและเกิดการสำลักขึ้น สามารถทำดังนี้

    1. ไอแรง ๆ ซ้ำ ๆ พยายามขับวัตถุออก
    2. ใช้มือกำปั้นกดเหนือสะดือ แล้วกดเข้าหาท้องแรง ๆ ด้วยมืออีกข้าง
    3. หากไม่สำเร็จ ให้พยายามเอนตัวพาดพนักเก้าอี้หรือขอบโต๊ะ แล้วกดหน้าท้องอย่างแรงเพื่อดันวัตถุออก

    ข้อควรระวัง

    • ห้ามตบหลังผู้ที่ยังหายใจ ไอ หรือพูดได้ เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเลื่อนลงไปอุดทางเดินหายใจมากขึ้น
    • ห้ามใช้นิ้วล้วงคอผู้ป่วย หากไม่เห็นวัตถุชัดเจน เพราะอาจดันสิ่งแปลกปลอมให้ลึกกว่าเดิม
    • หลังจากการสำลัก หากผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือเสียงแหบ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสอบการบาดเจ็บภายใน

    การป้องกันการสำลัก

    1. เด็กเล็ก
      • ไม่ให้เล่นของชิ้นเล็กที่สามารถเข้าปากได้
      • หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กและดูแลใกล้ชิดระหว่างรับประทาน
    2. ผู้ใหญ่
      • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่พูดหรือหัวเราะในขณะกิน
      • หลีกเลี่ยงการดื่มสุราขณะรับประทานอาหาร
    3. ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย
      • จัดอาหารให้นุ่ม เคี้ยวง่าย
      • คอยสังเกตอาการผิดปกติขณะรับประทาน

    ผลกระทบหากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา

    การสำลักหากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว อาจส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิต ได้แก่

    1. ขาดออกซิเจนเข้าสมอง
      สมองเป็นอวัยวะที่ไวต่อการขาดออกซิเจน หากไม่มีอากาศเข้าไปเลี้ยงภายใน 4-6 นาที อาจเกิดความเสียหายถาวร เช่น สมองพิการ สูญเสียความจำ หรือกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงตลอดชีวิต
    2. เสียชีวิตเฉียบพลัน
      หากสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครช่วยเหลือทันที โอกาสเสียชีวิตจะสูงมากภายในเวลาไม่กี่นาที
    3. ภาวะแทรกซ้อน
      แม้ผู้ป่วยจะรอดจากการสำลัก แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น เจ็บหน้าอก กล้ามเนื้อหรือซี่โครงช้ำจากแรงกดท้องหรือการทำ CPR รวมถึงการบาดเจ็บภายในหลอดลมหรือปอด

    ความสำคัญของการเรียนรู้และฝึกฝน

    แม้ขั้นตอนการช่วยชีวิตจากการสำลักจะไม่ซับซ้อนมาก แต่การทำอย่างถูกวิธีต้องอาศัยการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติ การเข้ารับการอบรมปฐมพยาบาลหรือการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ พยาบาล หรือครูฝึกกู้ชีพ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความถูกต้องในการลงมือปฏิบัติจริง

    ประโยชน์ของการฝึกอบรม

    • เพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน
    • ลดความเสี่ยงในการทำผิดวิธี เช่น การกดแรงเกินไปในเด็กเล็ก
    • สร้างความพร้อมให้กับบุคคลทั่วไปในครอบครัว โรงเรียน สถานที่ทำงาน หรือพื้นที่สาธารณะ

    บทบาทของครอบครัวและสังคม

    การป้องกันและการเตรียมพร้อมสำหรับการสำลักไม่ใช่หน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักร่วมกัน

    • ในครอบครัว
      พ่อแม่ควรดูแลเด็กเล็กไม่ให้เล่นกับของชิ้นเล็ก จัดการอาหารให้เหมาะสม รวมทั้งเรียนรู้วิธีช่วยเหลือเบื้องต้นหากลูกหลานเกิดการสำลัก
    • ในโรงเรียน
      ครูและบุคลากรควรได้รับการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อช่วยเหลือนักเรียนทันทีในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
    • ในชุมชนและที่ทำงาน
      ควรมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตและมีบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม พร้อมทั้งจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านความปลอดภัยแก่ประชาชนอยู่เสมอ

    การสร้างความตระหนักรู้

    สื่อมวลชน แพลตฟอร์มออนไลน์ และหน่วยงานสาธารณสุขควรมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสำลักและการปฐมพยาบาล การเผยแพร่วิดีโอสาธิต คู่มือ หรือบทความที่เข้าใจง่าย จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และนำไปใช้ได้จริงเมื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน


    กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

    มีหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้วิธีช่วยเหลือผู้ที่กำลังสำลัก เช่น

    • เด็กเล็กกินถั่วเข้าไปในลำคอ
      ผู้ปกครองที่รู้วิธีตบหลังและกดหน้าอกสามารถช่วยชีวิตได้ทันเวลา ก่อนที่หน่วยแพทย์จะมาถึง
    • ผู้ใหญ่สำลักอาหารในร้านอาหาร
      พนักงานที่ได้รับการฝึกการทำ Heimlich Maneuver สามารถขับอาหารออกมาได้ ทำให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจเป็นปกติ
    • ผู้สูงอายุที่มีโรคกลืนลำบาก
      หากครอบครัวไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้วิธีช่วยเหลือ มักมีโอกาสเสียชีวิตสูง ซึ่งกรณีนี้ตอกย้ำว่าการเรียนรู้และการเตรียมความพร้อมเป็นเรื่องสำคัญ

    แนวทางการพัฒนาทักษะในระยะยาว

    การเรียนรู้การปฐมพยาบาลไม่ควรหยุดอยู่ที่การอ่านหรือการดูวิดีโอ แต่ควรฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เช่น

    1. เข้าร่วมหลักสูตร CPR และการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS)
      ซึ่งจัดโดยโรงพยาบาล มูลนิธิกู้ภัย หรือองค์กรสาธารณสุข
    2. ฝึกซ้อมกับหุ่นจำลอง
      เพื่อให้คุ้นชินกับแรงกดและท่าทางที่ถูกต้อง
    3. อัปเดตความรู้สม่ำเสมอ
      แนวทางการช่วยชีวิตอาจมีการปรับปรุงตามมาตรฐานสากล การติดตามข่าวสารและเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
    การฉีดวัคซีน สำหรับเด็ก ตารางการฉีดวัคซีนพื้นฐาน การปฐมพยาบาลเมื่อ สำลัก ขั้นตอนช่วยชีวิต วันหยุดในออสเตรเลีย กิจกรรมสนุก ๆ และเคล็ดลับการประหยัดเงิน หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมอันตรายที่อาจคุกคาม การตั้งครรภ์
    Anthony Bennett

    Related Posts

    อุทยานธรรมชาติรากากาปา: เนินทราย และป่าสนริมทะเล

    August 26, 2025

    ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ใหญ่: ผลกระทบของการบริโภค เกลือ สูงต่อสุขภาพเด็ก

    August 24, 2025

    ควรกินอะไรก่อนและหลังการบริจาค เลือด?

    August 15, 2025

    Comments are closed.

    Recent Posts
    • การปฐมพยาบาลเมื่อ สำลัก ขั้นตอนช่วยชีวิต
    • อุทยานธรรมชาติรากากาปา: เนินทราย และป่าสนริมทะเล
    • ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ใหญ่: ผลกระทบของการบริโภค เกลือ สูงต่อสุขภาพเด็ก
    • ควรกินอะไรก่อนและหลังการบริจาค เลือด?
    • อาหารที่ดีและไม่ดีสำหรับสุขภาพ ฟัน ของเด็ก

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.